กรดไหลย้อนคืออะไร

กรดไหลย้อน (Gastroesophageal Reflux Disease: GERD)

เป็นโรคที่เกิดจากการไหลย้อนของกรดในกระเพาะอาหารเข้าสู่หลอดอาหาร ทำให้เกิดอาการระคายเคืองและไม่สบายตัว ในบทความนี้ เราจะพูดถึงสาเหตุ การรักษา และการป้องกันของโรคนี้อย่างละเอียด

สารบัญ

อาการของโรคกรดไหลย้อน
สาเหตุของการเกิดโรคกรดไหลย้อน
การรักษาโรคกรดไหลย้อน
วิธีแก้กรดไหลย้อนแบบเร่งด่วน
ข้อควรรู้
การป้องกันโรคกรดไหลย้อน
สรุป

อาการของโรคกรดไหลย้อน

โรคกรดไหลย้อนมีอาการที่เกิดขึ้นทั้งในระยะแรกเริ่ม (ก่อนที่จะมีอาการชัดเจน) และในระยะที่อาการรุนแรงหรือเป็นเรื้อรัง อาการเหล่านี้สามารถจำแนกได้ดังนี้

1. อาการก่อนจะเป็นโรคกรดไหลย้อน (ระยะเริ่มต้น)
ระยะแรกเริ่มของโรคกรดไหลย้อน อาจมีอาการที่ยังไม่ชัดเจนมากนัก แต่เป็นสัญญาณเตือนที่ควรสังเกต

1.1 อาการแสบร้อนกลางอก (Heartburn)
รู้สึกแสบร้อนบริเวณกลางอกหรือลิ้นปี่ อาการมักเกิดหลังรับประทานอาหารมื้อใหญ่ หรืออาหารที่กระตุ้น เช่น ของเผ็ด ของมัน

1.2 เรอเปรี้ยว
รู้สึกมีกรดไหลย้อนขึ้นมาที่คอหอยหรือปาก
รสชาติเปรี้ยวหรือขมในปาก เกิดขึ้นหลังจากการรับประทานอาหาร

1.3 อาการแน่นท้องหรืออึดอัด
รู้สึกท้องอืด แน่นท้องหลังมื้ออาหาร อาจมีการเรอบ่อยครั้งเพื่อบรรเทาอาการ

1.4 เจ็บคอเล็กน้อย
ระคายเคืองที่คอหรือเสียงแหบเล็กน้อย อาจเกิดจากกรดที่เริ่มระคายเคืองหลอดอาหาร

1.5 นอนไม่หลับหรือหลับไม่สนิท
มีความรู้สึกอึดอัดช่วงกลางคืน โดยเฉพาะหลังรับประทานอาหารใกล้เวลาเข้านอน

2. อาการหลังจากเป็นโรคกรดไหลย้อน (ระยะรุนแรงหรือเรื้อรัง)

หากปล่อยให้อาการในระยะแรกเริ่มพัฒนาเป็นโรคกรดไหลย้อนเรื้อรัง อาการจะรุนแรงและส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตมากขึ้น:

2.1 แสบร้อนกลางอกอย่างรุนแรง
อาการแสบร้อนเกิดบ่อยขึ้นและรุนแรงขึ้น มักเกิดหลังรับประทานอาหารเผ็ดหรือมัน และระหว่างการนอน

2.2 เรอเปรี้ยวและมีกรดไหลย้อนขึ้นมาในคอ
รู้สึกมีกรดและเศษอาหารย้อนขึ้น

สาเหตุของการเกิดโรคกรดไหลย้อน

โรคกรดไหลย้อนเกิดจากการที่กรดในกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นไปในหลอดอาหาร ส่งผลให้เกิดการระคายเคืองและอาการไม่พึงประสงค์ สาเหตุของโรคกรดไหลย้อนแบ่งออกได้ดังนี้

1. ความผิดปกติของกล้ามเนื้อหูรูดหลอดอาหารส่วนล่าง (Lower Esophageal Sphincter: LES)

LES ทำหน้าที่ควบคุมการเปิด-ปิดระหว่างหลอดอาหารและกระเพาะอาหาร หากทำงานผิดปกติ จะทำให้กรดไหลย้อนขึ้นมาสู่หลอดอาหารได้ง่ายขึ้น

1.1 แรงดันของ LES ต่ำเกินไป

• LES ที่ไม่แข็งแรงหรือแรงดันต่ำเกินไปอาจทำให้เปิดได้ง่าย

• เกิดจากพฤติกรรม เช่น สูบบุหรี่ หรือผลข้างเคียงจากยาบางชนิด

1.2 LES ปิดไม่สนิท

• การคลายตัวของ LES บ่อยเกินไป ทำให้กรดในกระเพาะอาหารย้อนขึ้นมา

1.3 ความผิดปกติของโครงสร้าง LES

• เช่น ภาวะไส้เลื่อนกระบังลม (Hiatal Hernia) ทำให้ LES เคลื่อนไปในตำแหน่งที่ผิดปกติ

2. พฤติกรรมการกินอาหารและการใช้ชีวิต

2.1 การกินอาหารที่กระตุ้นกรดไหลย้อน

• อาหารไขมันสูง: ของทอด เนื้อสัตว์ติดมัน และขนมหวานที่มีไขมันมาก

• อาหารรสจัด: เผ็ด เปรี้ยว หรือเค็มจัด

• เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน: กาแฟ ชา น้ำอัดลม

• การดื่มแอลกอฮอล์: ทำให้ LES อ่อนแอลง

2.2 การกินอาหารปริมาณมากในมื้อเดียว

• กระเพาะอาหารที่เต็มไปด้วยอาหารมากเกินไปจะเพิ่มแรงดันในกระเพาะ และทำให้กรดดันย้อนขึ้นมา

2.3 การนอนทันทีหลังรับประทานอาหาร

• นอนราบทันทีทำให้กรดในกระเพาะอาหารไหลขึ้นมาในหลอดอาหารได้ง่าย

2.4 พฤติกรรมอื่น ๆ ที่กระตุ้นการเกิดกรดไหลย้อน

• สูบบุหรี่: นิโคตินทำให้ LES อ่อนแอ

• การใส่เสื้อผ้ารัดแน่น: เพิ่มแรงดันในช่องท้อง

3. ปัจจัยด้านสุขภาพ

3.1 น้ำหนักตัวเกินหรือโรคอ้วน

• การสะสมของไขมันในช่องท้องเพิ่มแรงดันในกระเพาะอาหาร ทำให้กรดไหลย้อนขึ้นมาได้

3.2 ภาวะตั้งครรภ์

• ทารกในครรภ์ทำให้ช่องท้องมีแรงดันเพิ่มขึ้น รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกายที่ทำให้ LES คลายตัว

3.3 ภาวะไส้เลื่อนกระบังลม (Hiatal Hernia)

• เกิดจากส่วนหนึ่งของกระเพาะอาหารเคลื่อนไปอยู่ในตำแหน่งที่สูงกว่ากระบังลม ส่งผลต่อการทำงานของ LES

3.4 ภาวะลำไส้อุดตันหรือการย่อยอาหารผิดปกติ

• ทำให้กระเพาะอาหารไม่สามารถระบายอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ เกิดการสะสมและดันกรดย้อนขึ้นมา

3.5 โรคประจำตัวหรือภาวะอื่น ๆ

• เช่น โรคเบาหวานที่ทำให้การเคลื่อนไหวของกระเพาะอาหารช้าลง หรือโรคที่เกี่ยวข้องกับหลอดอาหาร

4. ผลข้างเคียงจากยาและสารเคมี

4.1 ยาที่ทำให้ LES อ่อนแอลง

• ยาคลายกล้ามเนื้อ เช่น Diazepam และ Theophylline

• ยาลดความดันโลหิตบางชนิด

4.2 ยาที่เพิ่มการระคายเคืองหลอดอาหาร

• ยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs เช่น Ibuprofen และ Aspirin ที่กระตุ้นการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร

4.3 ผลข้างเคียงจากการใช้สารเคมีหรือผลิตภัณฑ์

• เช่น นิโคตินในบุหรี่ หรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

5. ปัจจัยด้านอายุและเพศ

5.1 อายุที่เพิ่มขึ้น

• เมื่ออายุมากขึ้น การทำงานของ LES อาจเสื่อมลงตามธรรมชาติ

• กระเพาะอาหารอาจย่อยอาหารได้ช้าลง ทำให้มีโอกาสเกิดกรดไหลย้อนได้ง่ายขึ้น

5.2 เพศและฮอร์โมน

• ผู้หญิงตั้งครรภ์มักมีความเสี่ยงสูง เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนและแรงดันในช่องท้อง

การทำความเข้าใจสาเหตุเหล่านี้สามารถช่วยให้เราปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อป้องกันและลดความเสี่ยงของการเกิดโรคกรดไหลย้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การรักษาโรคกรดไหลย้อน

การรักษาโรคกรดไหลย้อนขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการ และสามารถแบ่งออกเป็น 3 รูปแบบหลัก

2.1 การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม

• รับประทานอาหารในปริมาณน้อย แต่บ่อยครั้ง

• หลีกเลี่ยงอาหารที่กระตุ้นอาการ

• งดการนอนหรือเอนหลังทันทีหลังรับประทานอาหาร ควรรออย่างน้อย 2-3 ชั่วโมง

• ลดน้ำหนักหากมีภาวะอ้วน

2.2 การใช้ยา

• ยาลดกรด (Antacids) เพื่อลดความเป็นกรดในกระเพาะอาหาร

• ยา Proton Pump Inhibitors (PPIs) เช่น Omeprazole เพื่อลดการผลิตกรด

• ยา H2 Receptor Blockers เช่น Ranitidine เพื่อช่วยลดกรดในกระเพาะอาหาร

2.3 การรักษาด้วยการผ่าตัด

สำหรับผู้ที่อาการรุนแรงและการรักษาอื่นไม่ได้ผล แพทย์อาจแนะนำการผ่าตัดเพื่อเสริมความแข็งแรงของ LES เช่น การผ่าตัด Nissen Fundoplication

วิธีแก้กรดไหลย้อนแบบเร่งด่วน

หากคุณมีอาการกรดไหลย้อนเฉียบพลัน เช่น แสบร้อนกลางอกหรือเรอเปรี้ยว คุณสามารถบรรเทาอาการได้ทันทีด้วยวิธีต่อไปนี้:

1. ดื่มน้ำอุ่น

• การจิบน้ำอุ่นจะช่วยเจือจางกรดในกระเพาะอาหารและลดการระคายเคืองหลอดอาหาร

• หลีกเลี่ยงน้ำเย็น เพราะอาจกระตุ้นการหลั่งกรดเพิ่ม

2. กินขิงสดหรือดื่มชาขิง

• ขิงมีคุณสมบัติช่วยลดการอักเสบและบรรเทาอาการแสบร้อน

• ชงชาขิงอุ่นหรือเคี้ยวขิงสดเล็กน้อยเพื่อบรรเทาอาการ

3. เคี้ยวหมากฝรั่งไม่มีน้ำตาล

• การเคี้ยวหมากฝรั่งช่วยกระตุ้นน้ำลาย ซึ่งสามารถล้างกรดที่ย้อนขึ้นมาในหลอดอาหาร

4. นั่งตัวตรง

• หากคุณเพิ่งรับประทานอาหารมา ควรหลีกเลี่ยงการนอนราบ

• นั่งตัวตรงหรือลุกเดินเบา ๆ เพื่อช่วยให้อาหารเคลื่อนลงกระเพาะอาหาร

5. ดื่มนมอัลมอนด์หรือกินกล้วย

• นมอัลมอนด์มีความเป็นด่าง ช่วยลดกรดในกระเพาะอาหาร

• กล้วยเป็นผลไม้ที่ช่วยเคลือบกระเพาะและลดการระคายเคือง

6. ใช้ยาลดกรด

• หากวิธีธรรมชาติไม่ได้ผล คุณสามารถใช้ยาลดกรดชนิดเคี้ยว (Antacid) เช่น ยาธาตุหรือยาลดกรดแบบน้ำ

• อ่านฉลากและปฏิบัติตามคำแนะนำของยาอย่างเคร่งครัด

7. หายใจเข้าลึก ๆ และผ่อนคลาย

• ความเครียดสามารถกระตุ้นอาการกรดไหลย้อนได้ การฝึกหายใจลึก ๆ หรือใช้เทคนิคผ่อนคลายจะช่วยบรรเทาอาการได้

หมายเหตุ

หากอาการกรดไหลย้อนยังไม่ดีขึ้นหรือเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น.

ข้อควรรู้

ความสำคัญของ LES ในโรคกรดไหลย้อน LES เป็นกลไกป้องกันหลักของร่างกายต่อการเกิดกรดไหลย้อน หาก LES ทำงานผิดปกติ ไม่ว่าจะเป็นเพราะพฤติกรรม สุขภาพ หรือโรคที่เกี่ยวข้อง จะเพิ่มโอกาสให้เกิดโรคกรดไหลย้อนได้ง่ายขึ้น

LES ทำงานผิดปกติได้อย่างไร?

1. แรงดันของ LES ต่ำ

• กล้ามเนื้อ LES อ่อนแอลง ทำให้ปิดไม่สนิท

• เกิดจากพฤติกรรม เช่น สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ หรือการใช้ยาบางชนิด

2. การคลายตัวของ LES บ่อยเกินไป

• LES อาจคลายตัวโดยไม่สัมพันธ์กับการกลืน ทำให้กรดไหลย้อนขึ้นมา

3. ตำแหน่งของ LES เปลี่ยนแปลง

• เช่นในกรณีของ ไส้เลื่อนกระบังลม (Hiatal Hernia) ที่ทำให้ LES เคลื่อนขึ้นไปในช่องอก

การป้องกันโรคกรดไหลย้อน

การป้องกันกรดไหลย้อนสามารถทำได้ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและดูแลสุขภาพดังนี้

3.1 ควบคุมน้ำหนัก

น้ำหนักเกินเพิ่มแรงดันในช่องท้อง ควรรักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ

3.2 หลีกเลี่ยงอาหารและเครื่องดื่มกระตุ้นอาการ

หลีกเลี่ยงของมัน ของทอด อาหารรสจัด กาแฟ และแอลกอฮอล์

3.3 ปรับเวลารับประทานอาหาร

รับประทานอาหารก่อนนอนอย่างน้อย 3 ชั่วโมง

3.4 นอนในท่าที่เหมาะสม

ยกหัวเตียงขึ้นประมาณ 6-8 นิ้ว หรือใช้หมอนรองศีรษะเพื่อลดแรงโน้มถ่วงที่ทำให้กรดไหลย้อน

3.5 หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่

การสูบบุหรี่ทำให้ LES อ่อนแอลง

สรุป

โรคกรดไหลย้อนเป็นปัญหาสุขภาพที่เกิดจากกรดในกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นมาระคายเคืองหลอดอาหาร อาการที่พบได้บ่อยคือแสบร้อนกลางอก เรอเปรี้ยว ไอเรื้อรัง หรือเสียงแหบ อาการเหล่านี้แม้สร้างความรำคาญใจ แต่สามารถจัดการได้ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและการดูแลตัวเอง

สาเหตุ

ปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดกรดไหลย้อนมักเกี่ยวข้องกับพฤติกรรม เช่น การรับประทานอาหารปริมาณมากในมื้อเดียว การนอนทันทีหลังอาหาร หรือการดื่มเครื่องดื่มที่กระตุ้นกรด นอกจากนี้ยังมีปัจจัยสุขภาพ เช่น น้ำหนักเกิน ภาวะตั้งครรภ์ หรือผลข้างเคียงจากยาบางชนิด

แนวทางการรักษาและป้องกัน

การรักษาสามารถทำได้โดยการปรับพฤติกรรม เช่น รับประทานอาหารในปริมาณน้อย หลีกเลี่ยงอาหารที่กระตุ้นอาการ และหลีกเลี่ยงการนอนหลังอาหารทันที หากอาการรุนแรง การใช้ยาหรือปรึกษาแพทย์เพื่อการรักษาที่เหมาะสมจะช่วยบรรเทาได้

โรคกรดไหลย้อนไม่ใช่โรคร้ายแรง และอาการส่วนใหญ่สามารถควบคุมได้ด้วยการดูแลตัวเองอย่างเหมาะสม อย่ากังวลหรือตื่นตระหนกเกินไป หากคุณปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ดูแลสุขภาพ และรับการรักษาอย่างต่อเนื่อง คุณจะกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ

จงจำไว้ว่า การเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ น้อย ๆ ในชีวิตประจำวัน เช่น การเลือกอาหาร การจัดตารางเวลานอน หรือการออกกำลังกาย สามารถสร้างความแตกต่างได้อย่างมหาศาล สุขภาพที่ดีเริ่มต้นได้ทุกวัน และคุณก็สามารถจัดการกับโรคนี้ได้ด้วยตัวเอง